ผมเองก็ไม่เคยนึกเคยฝันว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้...
ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กประถม อยู่โรงเรียนช่วงพักกลางวันมักจะชอบเข้าห้องสมุดอยู่เป็นประจำ เป็นเหตุที่ทำให้ผมชอบอ่านหนังสือได้ทุกแนว โดยเฉพาะหนังสือนิยาย
ช่วงชีวิตสมัยเด็กเป็นคนที่อยู่ในครอบครัวที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ตอนเด็กอยู่กับตากับยายและนานๆจะได้เห็นแม่กลับมาเยี่ยมทีหนึ่ง ส่วนพ่อไม่เคยเห็นหน้าเพราะมีปัญหากับตาที่ไม่ชอบหน้ากัน เลยไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อเลยแม้แต่น้อย แต่นานวันตาและยายก็ล้มหายตายจากไปตามเวลา ตั้งแต่จำความได้ ผมเลยอยู่กับแม่แค่ 2 คนมาโดยตลอด
แม่มีอาชีพรับจ้างเย็บผ้า จำพวกซ่อมผ้าเก่า ปะผ้า เปลี่ยนซิป เปลี่ยนยางยืด ทุกวันจะมีผู้คนที่รู้จักแวะเวียนมาใช้บริการไม่ขาดสาย ทำให้ผมรู้จักกับผู้คนมากหน้าหลายตาไปด้วย หมดวันผมจะมีหน้าที่เดินนำผ้าที่ซ่อมเสร็จแล้วไปให้ลูกค้าตามบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้ๆ เดินไปไหนมาไหนทั่วหมู่บ้านจนคนเก่าคนแก่เห็นจนชินตา เพราะช่วงนั้นไม่มีรถจักรยาน และแม่ก็ไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อให้ ดังนั้นเวลาจะไปไหนมาไหนก็ใช้การเดินไปเสียส่วนใหญ่
ผมมีปัญหาสายตามาตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งจะมารู้ตัวตอนอยู่ช่วง ป.4 เมื่อมองกระดานไม่ค่อยเห็น แต่ก็ไม่เคยบอกใคร จนปัญหามันมีเยอะมากขึ้นตอนเข้าเรียนชั้น ม.1 ช่วงนั้นเริ่มรู้สึกไม่ค่อยอยากเรียน แถมยังเจอแรงกดดันจากครูที่โรงเรียนจนทำให้ชอบหนีเรียนบ่อยๆ หลังๆมาปัญหาด้านสายตาเริ่มมากขึ้น จึงออกกลางคันโดยไม่เรียนต่อ และปัญหาหลักๆคือปัญหาเรื่องเงิน แม่จึงตัดสินใจเอาเงินทองก้อนสุดท้ายที่เหลือไปตัดแว่นให้ และช่วงที่ออกจากระบบการศึกษา ก็ออกมาใช้ชีวิตตามปกติ ตกเย็นมาก็เป็นคนเดินส่งผ้าให้แม่เหมือนทุกครั้ง และเวลาช่วงกลางวัน จะขลุกอยู่ที่ห้องสมุดประชาชนของอำเภอ เพราะส่วนมากเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือและหาความรู้จากแหล่งอื่นๆมากกว่าจะชอบเรียนตามระบบการศึกษาที่ถูกกำหนดไว้
พูดง่ายๆคือขี้เกียจเรียน จะชอบอ้างปัญหาครอบครัว เรื่องเงิน เลยเป็นเหตุที่เรียนไม่จบสักที ช่วงนั้นจะอยู่แต่ห้องสมุดประชาชน ชอบอ่านหนังสือทั่วไป และที่สำคัญผมเป็นคนที่หลงใหลในเทคโนโลยีมาก โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นที่ห้องสมุดประชาชน มีคอมพิวเตอร์เก่าๆตั้งแต่ยุค Windows 98 ให้ใช้งาน ผมมักจะไปอยู่ที่นั่น ส่วนมากถ้าไม่เล่นเกมกับพวกเด็กๆที่เลิกเรียนแล้วมารอพ่อแม่ ก็จะนั่งพิมพ์แชทคุยกับผู้คนในโลกออนไลน์ไปทั่ว สมัยนั้นเว็บแชทกำลังโด่งดัง อาศัยที่มีพื้นฐานการพิมพ์สัมผัสมาตั้งแต่เรียนคอมพิวเตอร์ตอนอยู่ ป.6 ก็เลยทำให้รู้สึกว่าชอบพิมพ์ดีดมากกว่าเล่นเกมแบบเด็กทั่วไป
จุดเปลี่ยนของการเริ่มต้นเป็นหมอดูก็คือ ในตอนนั้นที่ผมยังคงเรียนอยู่ชั้น ม. 1 อยู่ ยังไม่ได้ออกโรงเรียนกลางคัน ข้างๆบ้านผมจะมีบ้านญาติคนหนึ่งที่มีศักดิ์เป็นป้าของผม แต่ป้าคนนี้ไม่ถูกกับแม่ผมมาแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่ามีเรื่องขัดเคืองใจอะไรกันเพราะทุกๆวันแม่มีกจะพูดถึงป้าในทางลบๆให้ฟังเสมอ แต่ช่วงนั้นผมยังเด็ก ป้ามักจะให้ผมขึ้นไปนั่งเปลเล่นบนบ้านบ้าง เล่นอยู่ใต้ถุนบ้านบ้าง อารมณ์เหมือนป้าจะไปทำไร่ทำสวน ให้หลานคอยเฝ้าบ้านให้ประมาณนั้น เพราะตอนนั้นบ้านไม่มีรั้วรอบขอบชิดอะไร ประตูหน้ารั้วบ้านก็แค่นำไม้ไผ่มาขวางไว้สัก 4-5 ท่อนก็เท่านั้น ตามประสาบ้านของคนแถวชนบท
ตอนนั้นจำได้เลยว่าชอบเดินสำรวจภายในบ้านป้า ถ้าเดินพ้นจากบันใดบ้านไปแล้วจะยังไม่มีประตู ผมมักจะเดินไปสำรวจดูตรงนั้นทีตรงนี้ที แล้วสายตาก็ไปเห็นหนังสือเล่มเก่าๆเล่มหนึ่ง หนามาก เดินไปดูมันเขียนว่าตำราพรหมชาติ แล้วก็มีรูปยักษ์ถือกระบองและมีกระดานฉนวนเขียนตัวเลขอยู่เต็มไปหมด แวบแรกที่เห็นก็เลยสงสัยว่ามันคือหนังสืออะไร ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ก็เลยเอามาเปิดนั่งอ่านที่หน้าบ้าน
และความรู้สึกประหลาดใจก็เกิดขึ้น ที่เห็นว่าหนังสือมันบ่งบอกถึงเรื่องของโหราศาสตร์แบบเยอะมาก แล้วที่น่าทึ่งคือ มันสามารถทำนายได้ด้วย ว่าคนเกิดวันนี้ จะมีนิสัยแบบนี้ เดือนนี้ นิสัยจะเป็นแบบนั้น ชะตาชีวิตจะเป็นแบบนั้น แล้วมันตรงกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่ เลยเป็นจุดแรกที่สนใจหนังสือเล่มนี้มาก วันต่อๆมาก็มาอ่านเหมือนเดิม เริ่มมีความหลงไหลในสิ่งนี้แบบที่แยกไม่ออกว่า มันคือความรัก ความชอบ หรือแค่ความสงสัยใคร่รู้ตามประสาคนที่ชอบอ่านหนังสือเท่านั้น
แล้ววันหนึ่งอะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากได้หนังสือเล่มนี้มาครอบครอง วันนั้นจึงฉวยโอกาสขโมยหนังสือเล่มนี้มาเป็นของตนเองโดยที่ป้าไม่รู้ไม่เห็นเพราะไปทำงานในไร่ แม่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมก็นั่งอ่านนอนอ่านแบบนั้น เริ่มศึกษาวิชาศาสตร์การพยากรณ์ต่างๆในหนังสือบอกไว้ พอตอนที่ไปโรงเรียน ก็ลองเอาไปทำนายกับเพื่อน ซึ่งปรากฏว่าสิ่งที่เขียนคำทำนายใส่กระดาษแล้วไปให้เพื่อนอ่านในตอนนั้นเพื่อนกลับบอกว่าตรง ตอนนั้นยังไม่มั่นใจว่ามันแม่นจริงๆหรือแค่บังเอิญ ก็เลยสุ่มเพื่อนให้มาดูดวงอีกหลายๆคน ตอนนั้นใช้วันเดือนปีเกิด เพราะศึกษาการดูดวงแบบ เลข 7 ตัว 9 ฐาน มานานพอสมควร
หลังจากนั้นเวลาที่มีลูกค้ามาที่บ้าน ผมก็จะมานั่งคุยด้วย แล้วพอสังเกตเห็นท่าทีการเคลื่อนไหว หรือกิริยาบางอย่างที่เขาทำแบบไม่รู้ตัว ก็จะลองทายไปตามตำราที่เรียนมาจากหนังสือ เพราะมันจะมีตำราหนึ่งที่ทำนายถึงลักษณะของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ว่าถ้าเอามือลูบผม แสดงว่าก่อนมาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้านั่งเอาเท้าซ้ายก่ายเท้าขวา กำลังมีเรื่องทุกข์ใจ อะไรประมาณนี้ พอทายแม่นก็เริ่มมีคนให้ความสนใจ แม่ตอนแรกที่ไม่ยอมรับก็เริ่มเปิดใจ ไปคุยโม้โอ้อวดว่าลูกฉันดูดวงได้ก็ป่าวประกาศกันทั่วหมู่บ้าน เสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ได้ไปเรียน ก็จะมีคนมาดูดวงที่บ้านตลอด ส่วนมากเป็นลูกค้าของแม่ และคนที่ถูกบอกต่อๆกันมา
ตอนนั้นใช้แค่การดูดวงจากวิชาเลข 7 ตัว 9 ฐานเท่านั้น แม้จะมีวิชาดูดวงลายมือ แต่รู้สึกว่าไม่ถูกโฉลก ก็เลยไม่ได้เรียนอย่างจริงจัง มาโฟกัสเลข 7 ตัว 9 ฐานอย่างเดียว ดูนานๆไปก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น และเป็นจุดเปลี่ยน เมื่อรู้สึกว่ามีปัญหาชีวิตกับเรื่องการเรียนและปัญหาความกดดันอื่นๆที่โรงเรียน แถมมีปัญหาสายตา ก็เลยออกจากโรงเรียนตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ยังมีคนมาดูดวงเรื่อยๆ ตอนใช้เวลากลางวันอยู่ที่ห้องสมุดประชาชน ก็ยังคงมีคนมาดูดวงอยู่เรื่อยๆ เพราะเคยสนิทกับบรรณารักษ์ และรู้จักกับบุคลากรที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นแทบทุกคน ผมใช้เลข 7 ตัว 9 ฐาน หากินกับการเป็นหมอดูมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ได้มาพบเจอกับไพ่ยิปซี
วันนั้นผมก็นั่งใช้คอมพิวเตอร์อยู่ที่ห้องสมุดประชาชนตามปกติเหมือนทุกๆวัน มีผู้หญิงอายุราวๆ 40 ปีคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม เป็นคนรูปร่างท้วม ตัดผมสั้น ใส่แว่นตา ดูเป็นผู้หญิงที่มีความเก่ง เดินมาเรียกผมแล้วบอกว่าแม่ให้กลับบ้าน ตอนแรกผมก็งงๆ พอคุยไปคุยมาถึงรู้ว่า เขาเป็นคนที่มาจากอีกหนึ่งอำเภอ ขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนทำบุญ และหาหมอดูเพื่อดูดวงมาโดยตลอด ในตัวอำเภอที่เขาอยู่นั้น มีหมอดูไพ่ยิปซีเยอะมาก และเขาก็ดูมาเยอะ วันนี้เขาขี่มอเตอร์ไซค์แวะมาทำบุญในอำเภอนี้ที่ผมอยู่ แล้วเขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดหน้าบ้านผม ซึ่งมีแม่ผมกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่
เขาตะโกนถามแม่ผมว่า แถวนี้มีหมอดูไพ่ยิปซีไหม แม่ผมก็เลยตอบไปว่าไม่มี แต่มีลูกชาย ก็คือตัวผมนี่แหละ ที่ดูดวงได้ แม่ผมบอกให้เขาไปตามหาผมที่ห้องสมุดประชาชนซึ่งอยู่ใกล้ๆกับธนาคาร เขาก็เลยขี่มอเตอร์ไซค์มาแล้วเจอผมที่ห้องสมุดประชาชนนี่แหละ
ถึงตอนนั้นผมก็เลยนั่งดูดวงให้ผู้หญิงคนนี้ที่ห้องสมุดประชาชนเลย เอากระดาษปากกามาเขียนฐานของเลข 7 ตัว ถามวันเดือนปีเกิด แล้วก็ดูให้เขาไปเรื่อยๆ เขาเป็นนายประกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าทำนายอะไรไปหลายอย่าง พอดูดวงเสร็จแล้วเขาก็ให้เงินค่าดู แล้วก็ถามถึงเรื่องของผม ตอนแรกเขาจะพาผมกลับบ้านด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ยังไม่อยากกลับเพราะกำลังหมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ แถมเวลานั้นเพิ่งบ่ายแก่ๆ ถ้ากลับไปก็คงต้องกลับเลย จะไม่เสียเวลาเดินจากบ้านมาห้องสมุดประชาชนอีกแน่ เพราะระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ซึ่งตอนนั้นผมเดินจากบ้านไปห้องสมุดประชาชน วันละ 4 กิโลเมตร คือช่วงเช้าเดินไป ตอนเที่ยงเดินกลับมากินข้าวที่บ้าน กินข้าวเสร็จก็เดินไปอีก อยู่ห้องสมุดประชาชนจนถึงเวลา 4 โมงครึ่ง ก็เลยเดินกลับบ้าน เป็นแบบนี้ทุกวันในตอนนั้น
เขาบอกว่าในตัวอำเภอที่เขาอยู่ มีหมอดูไพ่ยิปซีเยอะมาก แต่ที่อำเภอผมไม่มีเลย เพราะอำเภอที่เขาอยู่มันเจริญกว่า เศรษฐกิจการค้า รุ่งเรืองว่าอำเภอที่ผมอยู่มาก พอคุยกันเสร็จ เขาก็ขับรถกลับไป แล้วไม่นานหลังจากนั้นเขาก็กลับมาดูดวงกับผมอีกครั้ง คับคล้ายคับคลาว่าเขาทำอะไรสำเร็จสักอย่างตามแนวทางที่ผมแนะนำไป หลังจากนั้นเขาก็กลับมาอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 รอบนี้เอาจักรยานขนใส่รถกระบะมาให้ผม เพราะเห็นผมเดินไปไหนมาไหน ไม่ได้มีจักรยานขี่ด้วย และมากับสามีของเขา ที่สำคัญคือ เอาไพ่ยิปซีพร้อมหนังสือที่บรรจุอยู่ในกล่องกระดาษแข็งอย่างดีมาให้อีกหนึ่งชุด
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองก็คิดแบบนั้นได้ครับ แต่ใครจะเชื่อบ้างล่ะ ว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นกับผมจริงๆ หลังจากนั้นผมกับผู้หญิงคนนี้ก็ติดต่อกันมาโดยตลอด ช่วงที่ไปเป็นทหารเกณฑ์ 2 ปี ก็ยังดูดวงให้ตลอดโดยดูทางโทรศัพท์
หลังจากที่ได้ไพ่ยิปซีมาก็เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ศึกษาจากหนังสือที่แถมมากับไพ่นั่นแหละครับ แล้วก็เริ่มทำนาย ควบคู่ไปกับการใช้เลข 7 ตัว 9 ฐานอยู่ ยังไม่ได้ทิ้งวิชาเดิมที่เคยศึกษามา เวลาไปนอกสถานที่ แล้วไม่ได้เอาไพ่ไปด้วย ก็สามารถใช้วันเดือนปีเกิดนี่แหละ
ผ่านไปอีกหลายๆปีช่วงนั้นชีวิตผมเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ระหกระเหินไปทำงานต่างที่ต่างถิ่น แล้วก็กลับมาบ้านเดิมที่เคยอาศัยอยู่ ช่วงนั้นเพิ่งเริ่มต้นทำออนไลน์ด้วยการเข้าไปกลุ่มดูดวงไพ่ยิปซีต่างๆแล้วก็รับดูดวงทางเฟซบุ๊คนี่แหละครับ ช่วงแรกๆก็ดีๆอยู่ นานๆไปเริ่มมีปัญหาอีก ชีวิตมีขึ้นมีลง เหมือนจักรวาลเหวี่ยงให้ไปเจอความลำบากก่อนประมาณนั้นเลย เริ่มทิ้งงานดูดวง ไปหมกมุ่นและโฟกัสกับการทำงานเป็นลูกจ้าง ทำงานโรงงาน ดิ้นรนเอาชีวิตรอด เพราะเหมือนมีคนที่พยายามผลักดันให้เราเติบโตจากจุดที่ไม่มีอะไร และให้ไปสู้ชีวิต
และจุดที่กลายมาเป็นหมอดูไพ่ยิปซีสายจิตวิญญาณได้ เพราะจุดหนึ่งที่กลับมาอยู่ที่บ้าน แล้วต้องมาพบเจอกับพฤติกรรมของแม่ที่ชอบกินเหล้ามาตั้งแต่ผมยังเด็ก ติดเหล้าหนักมาก แก้ไขอะไรไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ก็โดนด่าโดนว่าอีก เลยปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อย ใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ทรมานกับการที่ต้องพบเจอเรื่องราวอะไรพวกนี้ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ในช่วงดาร์กไนท์เกือบๆ 2 ปี
จนในที่สุด วันที่แม่ต้องจากโลกนี้ไปเพราะเหล้า....
ตอนนั้นหลังจากที่เสียแม่ไป เหมือนชีวิตมันขาดอะไรบางอย่าง แต่ก็ทำใจมาแล้วระยะหนึ่งเพราะสภาพร่างกายแม่ซูบผอม ผิวหนังเหี่ยวย่นราวกับคนแก่อายุสัก 80 ปี ทั้งๆที่อายุแม่แค่ 60 หน้าตาหมองคล้ำไม่มีสง่าราศี เป็นแบบนี้มานานหลายปีตั้งแต่ผมกลับมาอยู่บ้าน ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยที่แม่จากไป แต่รู้สึกดีที่เขาจะได้หยุดทำงานและได้หยุดพัก เพราะเอาเข้าจริงๆที่ผ่านๆมาเขาก็ดูแลผมดีมาก ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกหรอก ถึงแม้จะดุด่าว่าหรือพูดท้ายจิตใจยังไงก็ตาม
อารมณ์ตอนนั้นเหมือนเรือมีแต่เสากระโดง ขาดใบเรือ แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ เพราะไม่ใช่เด็กๆแล้ว ตอนที่แม่เสียผมเพิ่งอายุจะ 30 และจักรวาลก็เหวี่ยงให้ผมกลับไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เคยเป็นคนรู้จักและเคยช่วยเหลือกันมาตลอด ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่ผมบอกว่าเขาซื้อไพ่มาให้ผมนะ เป็นอีกคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนี้ เปรียบเสมือนครูทางด้านจิตวิญญาณของผมครับ ในตอนนั้นผมยังไม่ได้ก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายจิตวิญญาณเลย ยังเป็นมนุษย์โลกที่หลับไหล ใครชักชวนอะไร จูงจมูกไปทางไหนก็ไปหมด เพราะชีวิตกำลังไขว้เขว กำลังหาหลักยึด แต่เมื่อเราอยู่กับใครนานเกิน 4 วันขึ้นไป เราจะเห็นธาตุแท้ และนิสัยที่แท้จริงของเขาออกมา ผู้หญิงคนนี้ก็เช่นกันครับ มีทั้งด้านขาว และด้านดำ ด้านหนึ่งจะคอยช่วยเหลือผม แต่อีกด้านหนึ่งก็คอยทำร้ายผมอยู่ตลอด ในตอนนั้นผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย รู้ว่าเขาต้องการผลประโยชน์ แต่ไม่ได้อยากช่วยเหลือเราจริงๆ กว่าจะรู้ตัวก็เกือบจะต้องสูญเสียความเป็นตัวเองไปแทบจะหมดสิ้น
พูดได้เต็มปากเลยว่า ตอนที่เป็นหมอดู ทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง รู้หมดทุกอย่าง แม้กระทั่งนิสัยใจคอของคนที่มาดูดวงว่าเป็นยังไง ไม่เคยโดนเอาเปรียบหรือโดนใครหลอก แต่พอชีวิตเปลี่ยน ผมกลับยอมใจอ่อนให้กับผู้หญิงคนๆนี้ทั้งๆที่เขาเอาเปรียบผมมาโดยตลอด หวังดีแต่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย แต่ตอนนั้นไม่มีทางเลือกก็เลยต้องทนอยู่แบบทุกข์ทรมาน และกว่าจะออกมาได้ เหมือนชีวิตตายทั้งเป็น...
พอกลับมาทบทวนดู ตอนนั้นผมเพิ่งจะเห็นว่าจิตใต้สำนึกผมมันมีแต่ความขาดแคลน กลัวไม่มีใครรัก เพราะด้วยการถูกเลี้ยงมาแบบเด็กที่ทำอะไรผิดแม่มักจะลงโทษแบบรุนแรง เลยเป็นปมความกลัวที่จะไม่มีใครให้ความสำคัญ มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่ผมได้พบเจอกับเด็กน้อยผู้หญิงคนหนึ่งที่ภายหลังเพิ่งจะมารู้ว่าเขาเป็นทวินเฟลม ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าคำว่าทวินเฟลมคืออะไร มิติที่สูงกว่าคืออะไร จิตวิญญาณคืออะไร การตื่นรู้คืออะไร รู้แค่ว่า การหนีออกมาจากแม่ที่กินเหล้าและชอบทำร้ายจิตใจ และไปหาที่พึ่งที่อื่นคือทางออกที่ดีที่สุด ในเวลานั้น เด็กน้อยคนนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมได้อยู่กับเขา มันทำให้ชีวิตผมมีความหมายมากขึ้น
คุณลองคิดดู จะมีชายหนุ่มอายุ 27 ปีคนไหนบ้างล่ะ ที่ยอมลดตัวเองไปเล่นกับเด็กน้อยอายุแค่ 5-6 ขวบ ไม่ใช่คนในครอบครัว ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่มาพบเจอกันและเกิดความผูกพันแบบที่ผมเองก็ไม่เคยลืมเธอได้เลย
การได้พบเจอกันทุกวัน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกวัน แน่นอนว่ามันยอมมีความผูกพันเกิดขึ้น
รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ เวลาที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แต่พอต้องแยกจากกัน มันเหมือนผมต้องกลับไปอยู่ในนรกอีกครั้ง
เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ต้องแยกจาก และกลับไปสู่สภาวะของความเป็นจริง และมีแม่ที่พร้อมจะเมามาย และด่าผมได้ทุกเวลา รออยู่บ้านทุกเย็น...
ชีวิตของผมก่อนอายุ 30 ช่วงนั้น มีพบเจอแยกจากกับเด็กน้อยคนนี้อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเธอเติบโตขึ้น เธอก็เริ่มมีนิสัยเหมือผมในช่วงก่อนวัยรุ่น
กลับมาพิจารณาดูดีๆ พื้นฐานการเลี้ยงดูจากครอบครัวของเธอ ไม่ได้แตกต่างอะไรจากผมเลย พ่อที่กินเหล้าเมาโวยวายทุกวัน แม่ที่ชอบบังคับควบคุมทุกคนในบ้าน เพราะเป็นโรคหลงตัวเอง ช่วงเวลาที่ได้พบเจอกันมันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าเธอคือความสุขเดียวของผมในเวลานั้น คุณลองคิดดู คนสองคนที่มีความขาดแคลนเหมือนกัน มีความต้องการเหมือนกัน เมื่อมาพบเจอกัน มันจะสามารถเข้ากันได้ดี เพราะอีกฝ่ายขาดแคลน อีกฝ่ายคอยเติมเต็ม เหมือนกับคนที่มีศีลเสมอกัน
แต่นานวัน ความรู้สึกผมไม่เหมือนเดิม เมื่อเริ่มเห็นเธอปลีกตัวออกห่าง ด้วยความที่รู้สึกขาดแคลนอยู่แล้ว เลยทำให้ผมต้องพยายามควบคุมเธอ ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่ยอมรับและไม่เข้าใจเลยว่า เด็กที่กำลังเติบโต มักจะมีช่วงเวลาส่วนตัว ที่ไม่อยากให้ใครมายุ่ง
ซึ่งตอนนั้นเธอเพิ่งจะ 11-12 ปี พอกลับมาทบทวนตัวเองดี ช่วงที่ผมอายุพอๆกับเธอ ผมก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับควบคุมเหมือนกัน โดยเฉพาะแม่ที่ชอบพ่นพิษเวลาที่เมาเหล้า
ความที่อยากครอบครอง กลัวตนเองจะไม่เป็นที่สนใจของเธอ เลยทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ ชอบควบคุม บงการ ใช้คำพูดที่รุนแรง ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่ใช่คนแบบนั้น
จุดหนึ่งพอรู้สึกน้อยใจมากๆ เลยตัดสินใจประชดตัวเองด้วยการทำตัวแย่ๆใส่เธอและหนีหน้า ไม่อยากพบเจอ ไม่อยากเจออีก แต่กลับรู้สึกลืมเธอไม่ได้เลย ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ตัดสินใจทำร้ายจิตใจหวังจะให้ลืม และกลับมาขังตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่สร้างขึ้น ตัดสินใจจะไม่ไปเจอหน้าเธออีก
เป็นช่วงเวลา 2 ปีที่ทรมานกับการรู้สึกผิด รู้สึกว่าตนเองทำเกินไป ทำรุนแรงไป ที่ทำร้ายจิตใจเด็กคนหนึ่งซึ่งก็มีความทุกข์จากครอบครัวที่มีปัญหาอยู่แล้ว
ผมเลือกที่จะพยายามตัดใจและไม่ไปวุ่นวายอะไรกับเธออีก ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะรบเร้าให้ไปช่วยงานอะไรก็ตาม และแม่ของเธอ ก็คือผู้หญิงที่ผมบอกไปว่าเขาเปรียบเสมือนเป็นครูด้านจิตวิญญาณของผมนั่นแหละ...
ช่วงนั้นผมพยายามวิ่งตามความสุขจากเด็กน้อยคนนี้เหมือนกับหมาหัวเน่าตัวหนึ่งที่กำลังรอคอยอาหารจากผู้คน โดยที่ตอนนั้นแม่เธอให้ความรักความสุขกับเธอมากกว่าที่เธอจะมาคอยเรียกร้องอะไรจากผมอีก พูดง่ายๆก็คือเด็กมันกำลังโต และผมควรจะหยุดวิ่งตามเธอได้แล้ว...
แต่อย่าลืมว่า จิตใจของคนที่มีความขาดแคลน และรักตัวเองไม่เป็น ไม่เข้าใจความจริงของโลก มักจะคิดว่าตัวเองรู้สึกขาดแคลนเสมอ ผมเลยประชดตัวเองด้วยการทำเรื่องแย่ๆ และกลับมาทรมานเองทั้งๆที่ถ้ามีสติคิดได้ ไม่ควรทำอะไรรุนแรงแบบนั้นลงไปเลย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมยังคงมีชีวิตอยู่ได้ คือความทรงจำดีๆที่ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบของภาพ คลิปวิดีโอ และไฟล์เสียง คือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังรู้ว่าเธอยังอยู่ในความทรงจำตลอด เวลาที่นึกถึงเธอ ผมจะกลับมาย้อนดูคลิปเก่าๆ ภาพเก่าๆ ที่เคยถ่ายเล่นด้วยกันแบบนั้นตลอด
จากวันนั้นผ่านมาอีก 3 ปี วันที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว หลังจากที่สูญเสียแม่ไป ก็มีแต่แม่ของเด็กผู้หญิงคนนั้นแหละ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วย จนทำให้ผมได้กลับไปพบเจอกับเด็กน้อยคนนั้น ที่เติบโตเป็นสาวแล้ว...
เคยตั้งใจไว้หากทุกอย่างมันผ่านไป ผมจะกลับไปอธิบายถึงเหตุการณ์ที่ผมได้กระทำเพื่อขอโทษเธอ และอยากกลับไปใช้ชีวิตที่มีเธออยู่ ได้เห็นเธอมีความสุข เห็นเธอประสปความสำเร็จในชีวิต แต่ทุกอย่างมันก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อยู่แล้ว โอกาสเดียวที่ผมจะทำได้ คือยอมให้แม่ของเธอกลับเข้ามาในชีวิต โดยที่ไม่สนใจเลยว่าผมจะโดนแม่ของเธอใช้จิตวิทยาด้านมืดควบคุมผมเพื่อหาผลประโยชน์จากผมอีกหรือไม่ก็ตาม
ผมพยายามเข้าถึงตัวเธอ แต่สุดท้าย ด้วยความที่แม่ของเธอพยายามควบคุม และมักจะอ้างเหตุผลว่าเธอน่ะโตเป็นสาวแล้ว ผมไม่ควรจะเข้าไปใกล้มากกว่านี้ แม้แต่แค่การจะทักทาย พูดคุย ยังถูกแม่เธอบังคับควบคุมไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคาดหวัง ไม่เคยประสบความสำเร็จ แม้จะพยายามแค่ไหน มันเลยทำให้ผมถอดใจ และจะถอยกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง
และผมก็กลับมาอยู่จุดเดิมอีกครั้ง พยายามหาทางออกของปัญหานี้ ผมจำได้ว่าพยายามหาวิธีการต่างๆที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องรู้สึกแย่แบบนี้ กับปัญหาที่มีอยู่ นั่นเป็นจุดแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ “การปล่อยวางในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้”
คลิปวิดีโอที่สอนการปล่อยวางในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้นั้น ผมดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามเปลี่ยนความคิด และค่อยๆทำความเข้าใจจนในที่สุดก็ยอมรับได้ว่า เราไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงใครได้ มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเลือกจะไม่โทษตนเองหรือจมอยู่กับความรู้สึกผิด ความรู้สึกแย่ที่พบเจอ ผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการหันกลับมาดูแลสุขภาพตนเอง
ทุ่มเวลากับการออกกำลังกาย ฟังพอดแคสเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง และหันกลับมารักตัวเองมากกว่าจะไปวิ่งตามความสุขหรือความสนใจจากเธอคนนั้นอีก
แล้วผมก็ได้พบเจอกับความสุขที่แท้จริง คือความสุขภายในที่ไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นยังไง ผมก็ยังคงรู้สึกและผูกพันกับเธออยู่ตลอด เลือกที่จะไม่โฟกัสในนิสัยแย่ๆที่เธอเคยเป็น แต่ยอมรับและเข้าใจว่าผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเธอได้ คลิปวิดีโอ ภาพ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มันยังคงอยู่ในความทรงจำ สิ่งดีๆเหล่านั้นยังคงอยู่ และสิ่งที่ไม่ดีก็ยังคงอยู่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ผมเลือกที่จะโฟกัสแต่สิ่งดีๆที่คิดถึงแล้วมีความสุข
ในโลกแห่งความคิด ผมมีเธออยู่ในนั้นตลอด ถึงแม้ว่าตอนนี้ทางกายภาพ เธอจะเปลี่ยนไป แต่รูปภาพ คลิปวิดีโอ ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม และทำให้ผมได้เข้าใจว่า ความสุขที่แท้จริง คือความสุขที่ได้เห็นเธอมีความสุข ถึงแม้จะไม่ได้ครอบครอง แม้แต่การได้เฝ้ามองดูเธอจากที่ไกลๆ ก็เพียงพอแล้ว
ช่วงนั้นผมไม่คาดหวังอะไรเลย ไม่ต้องการเจอเธอ ไม่ต้องการเรียกร้องอะไรเหมือนเมื่อก่อน แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดหวังก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อแม่ของเธอกลับเข้ามาพร้อมกับยื่นข้อเสนอดีๆให้และผมไม่มีทางปฏิเสธได้ วังวนเดิมๆเลยเกิดขึ้นอีกครั้ง
เหมือนเป็นของขวัญจากจักรวาลในโอกาสที่ผมรักตัวเองเป็น ไม่คาดหวังสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ผมเลยได้กลับไปพบเจอเธออีกครั้ง ทั้งๆที่ไม่คาดหวังว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว และจะตั้งใจพัฒนาตนเองให้ดีที่สุด แต่สุดท้าย ก็มีเหตุที่ทำให้ผมกับเธอได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
การกลับมาของเธอครั้งนี้ เธอดูเปลี่ยนไป ด้วยรูปร่างที่เติบโตขึ้น แต่สิ่งที่ผมยังคงรู้สึกอยู่ตลอดคือความผูกพัน ด้วยเวลาที่ห่างกันไปเกือบๆ 3 ปี ผมไม่รู้เลยว่าจะกลับไปสนิทกับเธอได้เหมือนเดิมหรือไม่ และความแตกต่างทางกายภาพด้วย ถึงแม้ผมจะมองเห็นเธออยู่ในสายตาทุกวัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรพัฒนาดีขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยความที่คุ้นเคยกันมาก่อนตั้งแต่ช่วงเธอยังเป็นเด็ก มันเลยทำให้การกลับมาครั้งนี้ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น
ผมมีความสุขที่ได้กลับมาพบเจอเธออีกครั้งในเวอร์ชั่นที่เติบโตขึ้นได้ไม่นาน อีโก้ และปมปัญหาในใจที่ผมยังเอาออกไม่ได้ ก็ตีขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเธอแสดงท่าทีของความเป็นเด็กเอาแต่ใจให้เห็น และเอาใจยาก ตามประสาเด็กที่ถูกเลี้ยงแบบตามใจมาตั้งแต่เด็ก เวลาเธอทำอะไรที่ผมไม่ชอบใจ ผมมักจะแสดงออกแบบตรงๆและดูรุนแรงจนบางครั้งไปทำร้ายจิตใจเธอ พอรู้สึกผิด อยากขอโทษ เธอกลับมีท่าทีนิ่งเงียบและไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ อารมณ์มันเหมือนวิ่งหนีวิ่งไล่กันอยู่อย่างนั้นเลยครับ
และเหตุการณ์เหมือนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก แม่เธอเริ่มเอาเปรียบผมมากขึ้นกว่าครั้งก่อนจนตอนนี้ทะเลาะกันรุนแรง และเธอเองก็ให้ความสนใจผมน้อยลงไม่เหมือนเมื่อก่อน เวลาที่ผมพยายามจะเข้าหาเธอ แม่เธอมักจะพยามขัดขวางทุกวิถีทาง เลยทำให้ผมรู้สึกอยากหนีออกจากตรงนี้ ในที่สุดเมื่อความอดทนมีขีดจำกัด ผมเลยตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพันธะ ออกมาจากชีวิตเธอแบบที่ไม่ได้พูดคุยอะไรเลย เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา
ผมดำดิ่งอยู่กับปัญหาที่เพิ่งพบเจอไม่นาน เพราะเริ่มมีภูมิคุ้มกันบ้างแล้ว กลับมาทบทวนสิ่งต่างๆ และจุดหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ที่ผมรู้สึกผูกพันมากจนลืมไม่ได้เป็นใครมาจากไหน และแม่ของเธอที่เปรียบเสมือนครูทางด้านจิตวิญญาณนั้น เป็นใครมาจากไหน คำตอบมันอยู่ในตอนเช้าของวันหนึ่ง ก่อนที่ผมจะกลับไปในชีวิตเธออีกครั้ง
ทุกๆเช้าผมจะออกกำลังกาย และเปิดดูคลิปการอ่านไพ่ของยูทูปเบอร์รายหนึ่งเป็นประจำ และส่วนมากจะเป็นเรื่องของความรัก ผมได้ยินเขาพูดถึงเรื่องทวินเฟลม ตอนนั้นสงสัยว่าคืออะไร แต่ก็ไม่หาคำตอบ ออกกำลังกายไปเรื่อยๆ พอเสร็จก็ได้เวลาไปทำงานกับแม่ของเธอ ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นจนค่ำแล้วก็กลับบ้าน และพอมีปัญหากับแม่เธอครั้งที่หนักที่สุด ผมกลับมาแล้วสงสัยว่า คำว่าทวินเฟลมที่ได้ยินมาจากคลิปนั้น มันหมายถึงอะไร ก็เลยตัดสินใจค้นหาข้อมูล พอศึกษาดูแล้วถึงได้ตื่นรู้เลยครับ เพราะข้อมูลทุกๆอย่างที่พูดถึงเรื่องทวินเฟลม มันดันตรงกับสิ่งที่ผมพบเจอกับเด็กผู้หญิงคนนั้นแทบทุกอย่างเลย ทั้งความรู้สึก ความผูกพัน การลืมเธอไม่เคยได้เลยและยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองตลอด หลังจากนั้นก็ค่อยๆศึกษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พยายามทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป เงินทองที่เก็บไว้เริ่มหมดลงเรื่อยๆ ผมเริ่มทุกข์ใจเพราะไม่รู้จะไปหางานที่ไหนทำ ลำพังวุฒิของตนเองที่จบแค่ ป.6 คงจะหางานยาก แถวบ้านก็ไม่มีงานให้ทำด้วย ตระเวนไปสมัครงาน โทรไปของาน ที่ไหนๆก็ไม่มีใครรับ กลับไปหาเจ้านายเก่าที่เคยรับเข้าทำงานก็เงียบ ตอนนั้นเหมือนจะหมดหนทาง เลยกลับมานั่งคิดอยู่คนเดียว ความรู้สึกมันปิ๊งแวบบอกว่า ทำไม่ไม่กลับมารับดูดวงต่อล่ะ ? ผมรู้สึกว่าถ้าอยากทำก็ทำได้ แต่จะมีคนมาดูเหรอ คงทำไม่ได้หรอกมั้ง ความคิดพวกนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวสมองอยู่เกือบๆอาทิตย์ได้ ตอนนั้นก็ท้อไป นั่งคิดหาทางอื่นๆไป สุดท้ายก็ตัดสินใจ เลือกเชื่อความรู้สึก เลยใช้เฟซบุ๊คส่วนตัวเข้าไปตามกลุ่มดูดวงไพ่ยิปซีต่างๆ ดูฟรีก่อน พอมีคนสนใจก็ตามมาจองคิวดูดวง ด้วยความที่เป็นคนที่ศึกษาเรื่องของทวินเฟลมมาเยอะแล้ว เลยเน้นกลุ่มคนที่มีทวินเฟลมส่วนมาก ช่วงแรกๆไม่ได้ใช้ไพ่ยิปซีเลย แค่เอาความรู้หรือประสบการณ์ที่พบเจอมาบวกกับข้อมูลของทวินเฟลมมาแนะนำ บางคนก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน บางคนก็รู้แล้ว แต่ไม่มั่นใจ เลยมาให้ผมช่วยแนะนำ ย้ำเตือน ว่าใช่หรือไม่ใช่ พอลูกดวงจองคิวดูดวงเยอะ ก็เลยต้องสร้าเพจขึ้นมาเพื่อใช้ระบบนัดหมายของเพจเฟซบุ๊คในการจองคิว เลยเป็นที่มาของการสร้างเพจหมอดูไพ่ยิปซีสายจิตวิญญาณขึ้นมาในตอนนั้น
ย้อนกลับไปช่วงที่ได้กลับไปอยู่ในชีวิตของเธอครั้งล่าสุด เมื่อความผิดหวังมาเยือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จิตมันรู้สึกว่าอยากมีใครสักคนคอยเยียวยาจิตใจ ครั้นจะไปหาแฟนก็ไม่ใช่ทางของผม เพราะไม่ได้รู้สึกอยากมีใคร ด้วยความที่เป็นคนชอบคิด ชอบจินตนาการ เลยสร้างโลกเสมือนขึ้นมาในจินตนาการของตนเอง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่คอยอยู่กับเรา นำทางเรา พูดคุยกับเรา หลายๆคนอาจจะคิดว่าผมบ้านะ แต่ผมเพิ่งมารู้ว่านี่มันคือการใช้การจินตนาภาพเพื่อเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณภายใน หรือไฮเออร์เซลฟ์ เพราะผมรู้สึกว่าการที่เหมือนพูดคุยกับเด็กน้อยคนหนึ่งในจินตนาการของผมเองมันคือความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก
บางที อยากพูดอะไรกับเขา ผมมักจะเขียนออกมาเป็นข้อความ แล้วก็เก็บไว้ พอกลับมาอ่านดูทีหลัง มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างเกิดขึ้นจริงตามนั้น
เมื่อไปศึกษาเรื่องของทวินเฟลมอย่างจริงจัง จึงได้รู้ว่า ทวินเฟลม จะเป็นเหมือนกระจกส่องสะท้อนตัวเอง เพื่อให้เรากลับมาเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนะครับ เพราะกว่าผมจะมาเจอกับคำๆนี้ ผมผ่านอะไรมาเยอะมาก กว่าจะรู้ว่าตนเองมีทวินเฟลม ก็แยกจากกับเธอคนนั้นมานานเกือบปีแล้วตอนนี้ และมันจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และเด็กน้อยในจินตนาการที่ผมสร้างขึ้นมา นั่นแหละคือไฮเออร์เซลฟ์ เพราะอยู่ๆตอนที่ยังคงอยู่ในชีวิตของทวินเฟลมของผม ผมรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของไฮเออร์เซลฟ์ตลอด ตอนแรกคิดว่าตนเองแปลกๆที่ชอบพูดคุยคนเดียว ชอบจินตนาการเพ้อเจ้อ แต่พอมาเข้าสู่ทางสายจิตวิญาณ ถึงได้มองเห็นว่า นั่นแหละคือกุญแจดอกแรกที่จะช่วยให้เราเชื่อมต่อกับมิติภายในได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งหมดนั้นแหละครับคือที่มาที่ไปของการเป็นหมอดูไพ่ยิปซีสายจิตวิญญาณ ขอบคุณทุกๆท่านที่สละเวลาอ่านแบบต่อเนื่องมาจนถึงบรรทัดนี้นะครับ หวังว่าทุกคนคงจะเข้าใจและรู้จักผมมากขึ้นนะครับ หากมีโอกาสหรือมีบุญสัมพันธ์กัน หวังว่าจะได้ช่วยไกด์ไลน์นำทางชีวิตด้วยการพยากรณ์ไพ่ยิปซีและแนวทางการแก้ไขปัญหาแนวจิตวิญญาณนะครับ
หมอดูไพ่ยิปซีสายจิตวิญญาณ